สรุปคำบรรยายวิธีใช้เกียร์อัตโนมัติ "เหนืออัจฉริยะ" ของมาสด้า
ก่อนอื่นขอบอกไว้ก่อนนะคะว่า คำว่าเกียร์อัตโนมัติเหนืออัจฉริยะเนี่ย
ทางมาสด้าเป็นคนบัญญัติ ไม่ใช่หมูอ้วนเข้าข้างมาสด้าแต่อย่างใด
ในบทสรุปที่จะนำมาลงนี้
มาจากการฟังคำบรรยายที่ทางมาสด้าซิตี้เป็นผู้จัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 25
พ.ค.ที่ผ่านมา โดยมี อ.มนุญเป็นผู้บรรยายนะคะ
เรื่องพื้นฐาน
เกียร์ในรถยนต์เปรียบได้กับเฟืองโซ่ของจักรยาน เกียร์ 1
เป็นเสมือนเฟืองขนาดใหญ่ หมุนช้า แต่ให้ torque (แรง) สูง ในเกียร์ธรรมดา
จะมีถึงเกียร์ 5 ซึ่งเปรียบได้กับเกียร์ overdrive หรือ เกียร์ 4
ในเกียร์อัตโนมัติ
เกียร์ overdrive นั้น
มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยประหยัดน้ำมัน
กล่าวคือช่วยให้รอบไม่เพิ่มขึ้นไปจนสูงมาก
เมื่อขับด้วยความเร็วสูงต่อเนื่อง แต่ผู้ขับรถหลายท่านมักเข้าใจว่า
เกียร์สูงสุด ทั้งในระบบเกียร์ธรรมดาและอัตโนมัติ
เป็นเกียร์ที่ช่วยในการเร่งความเร็วขึ้นอีก
ซึ่งประเด็นนี้ไม่ใช่วัตถุประสงค์ที่แท้จริงของเกียร์สูงสุด
อัตราทดเกียร์ เกียร์ 1 จะมากที่สุดแล้วลดลงเรื่อย ๆ จนถึงเกียร์ 4
(อัตโนมัติ) และ 5 (ธรรมดา) อ.มนุญผู้บรรยายยืนยันว่า
หากขับเกียร์อัตโนมัติอย่างถูกวิธีแล้ว
จะกินน้ำมันน้อยกว่าหรือเท่ากับเกียร์ธรรมดาเลยทีเดียว
ความหมายของตำแหน่งต่าง ๆ ในเกียร์อัตโนมัติของมาสด้า
เมื่อไม่ได้อยู่ในโหมด Hold
P หรือ Park เป็นเกียร์ที่ใช้เมื่อจอดรถ แต่เกียร์นี้ ไม่ใช่เบรคมือ
ไม่ควรเข้า Park เวลาจอดอยู่บนเนิน หรือทางลาดชันอย่างสะพาน
หรือทางขึ้นลงที่จอดรถ แทนการเหยียบเบรคหรือดึงเบรคมือ
เพราะเกียร์จะแบกน้ำหนักรถมากเกินไป ควรใช้ P เมื่อนำรถเข้าจอดในช่องแล้ว
หรือจอดที่บ้านในโรงจอดรถ
R หรือ Reverse เป็นเกียร์ถอยหลัง มีข้อควรระวังคือ ไม่ควรเปลี่ยนมาเป็นเกียร์ถอยหลังขณะรถเคลื่อนที่อยู่
N หรือ Neutral คือเกียร์ว่าง
คำถามที่มักถามกันบ่อยคือ เมื่อใดควรเลื่อนจาก D มาเป็น N
คำตอบคือ ไม่ควรเข้า D, S, L แล้วเหยียบเบรคเป็นเวลานานเกิน 5 นาที
ถ้าคิดว่าเกิน ก็เปลี่ยนเป็น N ดีกว่า และถ้าจอดรถขวางชาวบ้านอยู่
ก็กรุณาเข้า N ไว้เพื่อป้องกันไม่ให้รถถูกขูดขีดเป็นรอย
เนื่องจากมีคนหมั่นไส้เพราะเข็นรถคุณไม่ได้
D หรือ Drive เกียร์นี้ คือ เกียร์อัตโนมัติเต็มรูปแบบ มีตั้งแต่เกียร์ 1-4
S หรือ Second เกียร์นี้ของมาสด้า มีทั้งหมด 3 เกียร์ คือ 1,2 และ 3
L หรือ Low ชื่อบอกอยู่แล้วนะคะว่าเป็นเกียร์ต่ำ ในเกียร์นี้มี 2
เกียร์ด้วยกันคือ 1 และ 2 ใช้สำหรับขึ้นลงที่ลาดชัน ขึ้นเขาลงเขา
ขึ้นที่จอดรถ
เมื่อใช้ Hold
เมื่อกดปุ่ม Hold แล้วมีไฟสัญญาณแสดงว่า hold ขึ้นที่หน้าปัทม์ ระบบเกียร์อัตโนมัติจะเปลี่ยนไปดังนี้
เกียร์ P,R,N ยังเหมือนเดิม แต่เกียร์ 3 อันล่าง ให้ดูตัวเลขแสดงที่อยู่แถวเดียวกับคำว่า hold ที่มีลูกศรชี้ลงมา จะเห็นว่า
D เป็นเกียร์ 3 เท่านั้น (เว้นเวลาหยุดแล้วออกรถ
เกียร์จะเปลี่ยนเป็นเกียร์ต่ำให้ก่อน แล้วค่อยเปลี่ยนเป็นเกียร์ 3
เพื่อป้องกันความเสียหาย)
S เป็นเกียร์ 2 เท่านั้น (เช่นเดียวกับเกียร์ D เกียร์จะเปลี่ยนเป็นเกียร์ต่ำให้ก่อน เมื่อออกตัว)
L เป็นเกียร์ 1 เท่านั้น
การ hold จะถูกยกเลิกเมื่อกดปุ่ม hold อีกครั้ง (ไฟสัญญาณที่หน้าปัทม์ดับ) และจะถูกยกเลิกโดยอัตโนมัติเมื่อปิดสวิตช์กุญแจ
ปุ่มล็อคที่เกียร์
ปุ่มใหญ่ที่อยู่ทางขวาของหัวเกียร์นั้น
เป็นปุ่มที่ใช้ป้องกันไม่ให้ผู้ขับรถเข้าเกียร์ผิดจนเกิดความเสียหายต่อ
เครื่องยนต์ เกียร์ หรือเกิดอุบัติเหตุได้ ดังนั้น
ไม่ควรกดปุ่มนี้ทุกครั้งที่เข้าเกียร์
กรณีเข้าเกียร์ไล่จากบนลงล่าง
P ไป R ต้องกด
R ไป N ไม่ต้องกด
N ไป D ไม่ต้องกด
D ไป S ไม่ต้องกด
S ไป L ต้องกด
(จะเห็นว่า หากผลักลงสุดเลย จะไปสุดที่ S
ซึ่งเป็นเกียร์ที่ใช้กับการขับรถในเมืองที่ความเร็วไม่เกิน 80 กม./ชม.ได้
และเมื่อจะเข้าเกียร์ว่างเมื่อรถหยุด ก็ผลักขึ้นสุด เกียร์จะไปสุดที่ N)
กรณีเข้าเกียร์โดยผลักจากล่างขึ้นบน
L ไป S ไม่ต้องกด
S ไป D ไม่ต้องกด
D ไป N ไม่ต้องกด
N ไป R ต้องกด (เพื่อป้องกันการถอยหลังแบบไม่ตั้งใจ
และป้องกันเกียร์พังกรณีเปลี่ยนทิศทางการขับรถจากหน้าเป็นหลังขณะรถยัง
เคลื่อนอยู่)
R ไป P ต้องกด
เรื่องพื้นฐานก็คงมีเพียงเท่านี้นะคะ ต่อไปจะเป็นการใช้เกียร์ในสถานการณ์ต่าง ๆ
== หมายเหตุ ===
เสริมเรื่องปุ่ม hold ของมาสด้าอีกนิด แต่เป็นเรื่องสำคัญ คือ ปุ่ม hold
ของมาสด้านั้น "ไม่ใช่" ย้ำ "ไม่ใช่" ปุ่ม overdrive off (เกียร์
overdrive คือเกียร์ 4 ในเกียร์อัตโนมัติ ดังนั้นปุ่ม overdrive off
ในรถยี่ห้ออื่น ๆ ก็คือการตัดเกียร์ 4 ทิ้งไป ให้เหลือ 1-3 ซึ่งถ้าวิ่งเร็ว
ๆ โดยใช้เกียร์ 4 อยู่ แล้วต้องการเร่งแซง
จะใช้วิธีเหยียบคันเร่งให้มิดเพื่อคิกดาวน์ หรือกดปุ่ม overdrive off ก็ได้
เกียร์จะเหลือ 1-3 แต่ของมาสด้าไม่ใช่ เพราะเมื่อกด Hold เกียร์ D
จะเป็นเกียร์ 3 เท่านั้น เว้นแต่เมื่อรถหยุดแล้วออกตัว
เกียร์จะช่วยเซฟให้โดยเปลี่ยนไปเป็นเกียร์ต่ำก่อนเพื่อออกรถแล้วค่อยเปลี่ยน
เป็นเกียร์ 3)
ดังนั้น การออกรถขณะใช้ระบบ Hold อยู่
(มีไฟสัญญาณที่หน้าปัทม์) จึงควรออกรถด้วยเกียร์ L แล้วเปลี่ยนขึ้นไปเรื่อย
ๆ เหมือนเกียร์ธรรมดา ถ้าไม่เปลี่ยน เกียร์จะอยู่ที่เกียร์ 1 ไปตลอดกาล
วิธีการใช้เกียร์ในสถานการณ์ต่าง ๆุ
ขับในเมือง
การขับในเมือง คงมีโอกาสเพียงน้อยนิดที่จะใช้ความเร็วได้ตั้งแต่ 80
กม./ชม.ขึ้นไป ขนาดขึ้นทางด่วนบางทีก็ยังไม่สามารถทำความเร็วได้
เกียร์ที่เหมาะสมจะใช้กับการขับในเมืองคือ S (มี 3 เกียร์คือ 1 2 3)
ซึ่งจะช่วยให้คุณเข้าเกียร์ได้ง่ายด้วย คือ
เมื่อจะออกรถก็ผลักเกียร์ลงมาสุด (ไม่ต้องกดปุ่มล็อคเกียร์ที่อยู่ทางขวา)
เกียร์จะมาสุดที่ S และเมื่อรถหยุด ก็ผลักขึ้นสุด
(ไม่ต้องกดปุ่มล็อคเกียร์เช่นกัน) เกียร์ก็จะสุดที่ N
ทำให้เข้าเกียร์ได้ถนัด แม่นยำ ไม่ต้องคอยมอง เหมือนการเข้า D แต่จำไว้ว่า
เกียร์ S ไม่ควรใช้วิ่งเกิน 80 กม./ชม. เพราะจะกินน้ำมัน
และเครื่องจะทำงานหนักที่รอบสูง ดังนั้นหากเข้า S ไว้
เมื่อทำความเร็วได้แล้ว ก็ผลักขึ้นไปเป็น D ได้ค่ะ
รถติดนานแค่ไหนถึงควรผลักเกียร์ไปที่ N
คำตอบคือ ถ้าไม่ใช่การเคลื่อนตัวไปเรื่อย ๆ ขับ ๆ หยุด ๆ
แต่ต้องหยุดนานเกินกว่า 5 นาที ให้ผลักไปที่ N อย่าเข้า S หรือ D
แล้วเหยียบเบรคค้างไว้เป็นเวลานาน ๆ เปลืองทั้งเบรค
เปลืองทั้งความสึกหรอที่กลไกเกียร์
(อันนี้เป็นข้อถกเถียงกันจนเป็นเรื่องใหญ่โต เอาเป็นว่า
ถนัดยังไงก็ทำอย่างงั้น เมื่อยก็ผลักไปN ก็แล้วกัน)
การเร่งแซง
วิธีที่ 1 ให้เหยียบคันเร่งจนสุด
เพื่อให้เกียร์คิกดาวน์ไปเป็นเกียร์ที่ต่ำลง เมื่อแซงเสร็จ ผ่อนคันเร่ง
เกียร์จะเปลี่ยนไปเกียร์สูงกว่า
วิธีที่ 2 โยกคันเกียร์ จาก D เป็น S (ซึ่งคือ 1-3) เมื่อแซงเสร็จแล้วก็ผลักกลับไปที่ D เหมือนเดิม (มี 4 เกียร์)
วิธีที่ 3 กดปุ่ม Hold หากขับด้วยเกียร์ D อยู่
เกียร์ก็จะเปลี่ยนเป็นเกียร์ 3 เมื่อแซงเสร็จ กดปุ่ม Hold อีกครั้ง
เพื่อปิด เกียร์ D ก็จะกลายเป็น 1-4 ตามเดิม
*** อย่าลืมว่า Hold ไม่ใช่ overdrive off นะคะ ***
การขับลงทางลาดชัน
การขับลงที่ลาดชัน
ทุกท่านคงจะทราบอยู่แล้วว่าต้องใช้เกียร์ต่ำเพื่อใช้เครื่องยนต์หน่วงไม่ให้
รถไหลไปเร็วเกินไปจนต้องเบรคตลอดเวลา ดังนั้น
ในการใช้เกียร์อัตโนมัติก็เหมือนกับเกียร์ธรรมดา
คือต้องเปลี่ยนเกียร์มาเป็น S หรือ L เมื่อลงที่ลาดชัน
ตามน้ำหนักบรรทุกและองศาของพื้นที่ลาดชันนั้น ๆ แล้วค่อย ๆ ขับลง
(ไม่ใช่ขับด้วยความเร็วเป็น 100 กม./ชม.) แตะเบรกช่วยบ้างบางครั้ง
เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำมันเบรค หรือผ้าเบรคร้อนเกินไปจนไหม้
อย่าใช้เกียร์ D ขับลงที่ลาดชัน
เพราะในเกียร์นี้จะไม่มีการใช้เครื่องยนต์หน่วงรถ หรือ engine brake เลย
รถจะไหลไปด้วยความเร็ว เกียร์ก็จะเปลี่ยนเป็นเกียร์สุงขึ้นเรื่อย ๆ
ไม่มีการหน่วง
หากขับมาด้วยความเร็วสูง เช่น ประมาณ 100 กม./ชม.
ขึ้นไป แล้วต้องลงทางลาดชัน ให้ชะลอก่อน แล้วจึงเปลี่ยนเกียร์ลงมาเป็น S
หากมีองศาชันมาก ก็ให้ชะลอลงเรื่อย ๆ แล้วค่อยเปลี่ยนจาก S เป็น L
อีกวิธีหนึ่งที่ทำได้ก็คือหากวิ่งมาด้วยความเร็วสูง ให้ชะลอรถลง แล้วกด
Hold จากนั้นก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเกียร์ลงเหมือนการขับเกียร์ธรรมดา แต่ใน Hold
mode นี้ มีการจำกัดความเร็วของแต่ละเกียร์ไว้ด้วย ดังนี้ค่ะ
เกียร์ S
รุ่น 1600 ซีซี ไม่เกิน 101 กม./ชม.
รุ่น 1800 ซีซี ไม่เกิน 108 กม./ชม.
รุ่น 2000 ซีซี ไม่เกิน 106 กม./ชม.
เกียร์ L
รุ่น 1600 ซีซี ไม่เกิน 52 กม./ชม.
รุ่น 1800 ซีซี ไม่เกิน 57 กม./ชม.
รุ่น 2000 ซีซี ไม่เกิน 55 กม./ชม.
จะทราบได้อย่างไรว่าเกียร์มีปัญหา
ไฟ hold จะกะพริบ ให้รีบเอารถเข้าศูนย์บริการทันทีค่ะ
การดูแลรักษาเกียร์
เกียร์ประกอบด้วยหน่วยไฟฟ้า สมอง (ใช้คำนวณลักษณะการขับขี่ พื้นผิวถนน
น้ำหนัก ฯลฯ) และเฟือง ดังนั้นหากเกียร์เสีย ควรเช็ค 3 จุดนี้
ระวังอย่าให้น้ำเข้าเกียร์ ถ้าเป็นไปได้ อย่าลุยน้ำสูงเกินแก้มยาง
(หรือขอบล้อด้านล่าง)
และควรเปลี่ยนน้ำมันเกียร์บ่อยกว่าที่กำหนดไว้ในคู่มือ (เปลี่ยนทุก 10,000
กม.ก็ได้ค่ะ) หากลุยน้ำสุง ๆ มา ตรวจเช็คน้ำมันเกียร์
พบว่าสีจางลงเป็นสีชมพู แปลว่าน้ำเข้าไปแล้วแน่ ๆ
ให้เปลี่ยนน้ำมันเกียร์เลยค่ะ
เวลาตรวจน้ำมันเกียร์ ถ้าเป็นสีแดง
แสดงว่าปกติ ถ้าเป็นสีชมพู แสดงว่าน้ำเข้า ถ้าเป็นสีน้ำตาล
แสดงว่ามีฝุ่นเข้าและเกิดการไหม้ขึ้น
อย่าเติมน้ำมันเกียร์เกินขีดที่กำหนดไว้ น้ำมันจะกระเพื่อมมากไป
น้ำมันเกียร์อัตโนมัติที่มาสด้าใช้คือ Dexron II ไม่ควรเปลี่ยนสลับไปมา
การวัดระดับน้ำมันเกียร์จะไม่เหมือนกับการวัดน้ำมันเครื่อง
เพราะต้องวัดขณะที่เครื่องยนต์ได้อุ่นเครื่องแล้ว
ที่มา : การอบรมเรื่องเกียร์อัตโนมัติ ของรถยนต์มาสด้า โดยมาสด้าคลับ และมาสด้า ซิตี้
วันที่ 25 พฤษภาคม 2545 ที่ มาสด้า ซิตี้@ลุมพินี
รวบรวมสรุปเนื้อหาคำบรรยายโดย คุณหมูอ้วนตัวใหญ่
มาดูความแตกต่างเรื่อง Over Drive กันหน่อย
OVERDRIVE ของเกียร์อัตโนมัติ
แม้เกียร์อัตโนมัติจะแพร่หลายในไทยมามากกว่า 20 ปีแล้ว
แต่ยังมีคนสับสนกับปุ่ม OVERDRIVE หรือ OD กันมาตลอด ทั้งงงว่าคืออะไร
มีไว้ทำไม ทำไมรถยนต์บางุร่นไม่มี ควรเปิด-ON หรือปิด-OFF
ในสภาพการขับแบบใด
OVERDRIVE คือ อะไร ?
การใช้คำนี้นั่นเองที่ทำให้เกิดความสับสน
เพราะอ่านแล้วแปลออกแต่ไม่เข้าใจว่าจริงๆแล้วมีผลอย่างไรในรถยนต์
ไม่ว่าจะมีเกียร์ทั้งหมดกี่จังหวะ ถ้ามีปุ่มเปิด-ปิด OVERDRIVE ก็คือ
การเปิด-ปิดเกียร์สูงที่สุด ว่าจะให้มีใช้หรือไม่
ถ้ามีเกียร์ทั้งหมด 4 จังหวะ หากปิด ก็เท่ากับมีแค่เกียร์ 1-2-3
เปลี่ยนขึ้นลงเท่านั้น ไม่ว่าความเร็วจะขึ้นไปสูงเพียงไร
ก็ไม่มีการเข้าเกียร์ 4 ให้ ในรถยนต์บางรุ่นมีปุ่ม OVERDRIVE บางรุ่นไม่มี
แต่ก็สามารถเลือกจะไม่ใช้เกียร์นั้นได้
โดยดูที่ฐานคันเกียร์ว่ามีตำแหน่งรองจาก D ลงไปเป็นอะไร ถ้าปกติเป็น D4
รองลงไปเป็น D3 ดังนั้นหากเลื่อนคันเกียร์ไปที่ D3 ก็คือ ปิด OVERDRIVE
หรือมีใช้แค่ 3 เกียร์นั่นเอง
สำหรับรถยนต์ที่มี 5 เกียร์ การปิด OVERDRIVE ก็จะเหลือ 4 เกียร์ 1-2-3-4 โดยไม่มีเกียร์ 5 ใช้นั่นเอง
สมมุติถ้าไม่ใช้คำว่าปุ่มหรือเกียร์ OVERDRIVE
หากเรียกกันว่าปุ่มเปิด-ปิดเกียร์ 4 หรือเกียร์ 5 ก็น่าจะลดความสับสนลงได้
เพราะก็แค่ไปทำความเข้าใจว่า การเปิดหรือปิดเกียร์ 4 หรือ 5
นั้นจะมีผลเช่นไรในการขับ ไม่ต้องไปงงกับคำว่า OVERDRIVE
ทำไมต้องเปิด ทำไมต้องปิด ?
รถยนต์ที่ใช้ระบบเกียร์อัตโนมัติ
ส่วนใหญ่ยกเว้นรุ่นที่เป็นรถยนต์สมรรถนะสูงจริงๆ
เกียร์สุดท้ายหรือเกียร์สูงที่สุด จะเป็นเกียร์ที่มีอัตราทดต่ำ
ช่วยลดรอบเครื่องยนต์ และลดการสึกหรอ ลดความสิ้นเปลืองน้ำมันฯ
มีอัตราเร่งในช่วงความเร็วสูงแค่พอประมาณ แต่ไม่ดีเท่ากับเกียร์รองลงไป
และถ้าไม่ได้เน้นการเร่งแซงในช่วงนั้นแบบดุดัน ก็ไม่ต้องปิด OVERDRIVE
เพราะไม่ถึงกับไม่มีอัตราเร่งเลย
การปิด OVERDRIVE
จะไม่ได้ทำให้อัตราเร่งในช่วงออกตัวไปจนถึงสุดเกียร์ 3
แตกต่างจากการเปิดไว้ (กรณีมีทั้งหมด 4 เกียร์) การปิดไว้
เป็นเพียงการป้องกันไม่ให้ระบบควบคุมมีการเปลี่ยนเกียร์จาก 3 ไป 4
ในช่วงที่ผู้ขับลดการกดคันเร่ง
ในการขับปกติ ควรเปิด OVERDRIVE ไว้
ดังที่เห็นว่า ในรถยนต์ส่วนใหญ่หากปิดไว้ จะมีไฟเตือนสีส้มสว่างขึ้น
ชื่อก็บอกว่าเป็นไฟเตือน และยังเป็นสีส้มอีก ไม่ใช่สีเขียว
จึงหมายความว่าเป็นการเตือนแบบไม่ร้ายแรง หากเปิด OVERDRIVE ไว้
จะไม่มีการเตือน นั่นแสดงกว่าเป็นภาวะปกตินั่นเอง
OVERDRIVE อัตราทดต้องต่ำกว่า 0 ใช่ไหม ?
หลายคนเข้าใจว่าเกียร์ใดที่มีอัตราทดต่ำกว่า 1 ต้องเป็นเกียร์ OVERDRIVE
ทั้งที่ในความเป็นจริงไม่ใช่ เพราะในรถยนต์แต่ละคัน
อาจมีหลายเกียร์ที่มีอัตราทดต่ำกว่า 1 ไม่ใช่เฉพาะแค่เกียร์สูงสุดเท่านั้น
ในความเป็นจริง เกียร์จังหวะใดจะเป็นเกียร์ OVERDRIVE
ก็ต่อเมื่อเกียร์นั้นไม่สามารถเร่งเครื่องยนต์ไปถึงรอบที่มีแรงม้าสูงสุดได้
หากมีถนนว่างและปลอดภัย ให้ลองทดสอบดูก็ได้ว่า ในเกียร์รองลงไปและ
OVERDRIVE หรือการปิด-เปิด เกียร์ใดมีอัตราเร่งดีกว่า
ลากรอบเครื่องยนต์ได้สูงสุด และทำความเร็วสูงสุดได้
ถ้าจะเน้นอัตราเร่งช่วงความเร็วสูง ควรปิด
ทำได้หลายวิธี คือ เปิด
OVERDRIVE แล้วกดคันเร่งให้จมเพื่อให้มีการคิกดาวน์ลงมาที่เกียร์ต่ำเอง
กดคันเร่งแช่ต่อเนื่องไป หากสุดเกียร์ 3 จริงๆ
แล้วถึงจะถูกเปลี่ยนไปยังเกียร์ 4 หรือ OVERDRIVE เอง
แต่ถ้ามีการลดการกดคันเร่งในช่วงใด และอยู่ในเกียร์ 3
ระบบจะเปลี่ยนไปที่เกียร์ 4 ให้เอง อัตราเร่งก็จะไม่ดี หากจะเร่งต่อ
ก็ต้องเสียจังหวะการคิกดาวน์ลงมาที่เกียร์ 3 อีกครั้ง
หรือถ้าความเร็วสูงแล้ว ระบบก็จะไม่ยอมคิกดาวน์มาที่เกียร์ 3
ดังนั้นถ้าจะให้ดี ก็ควรปิด OVERDRIVE
ไว้ในช่วงที่ต้องการอัดตราเร่งที่ดุดันในช่วงความเร็วเกิน 80
กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ในเมืองปิดหรือเปิด ?
บางคนเข้าใจว่า ในเมื่อการขับรถยนต์ในเมืองที่มีการจราจรติดขัด
ไม่สามารถใช้ความเร็วสูงได้ ก็จะไม่มีความจำเป็นต้องเปิด OVERDRIVE ไว้
เพราะเกียร์จะต้องเปลี่ยนสลับไปมา และขึ้นไปสู่เกียร์ OVERDRIVE
โดยไม่จำเป็น เพราะเดี๋ยวก็ต้องเปลี่ยนลงเกียร์ต่ำสลับไปสบับมาซ้ำกันบ่อยๆ
คิดว่าจะทำให้เกิดทั้งการสึกหรอและการกระตุกขณะเปลี่ยนเกียร์สลับไปมา
ในความเป็นจริง แม้จะขับในเมือง ก็ควรเปิด OVERDRIVE
ทิ้งไว้ตลอดหากตอนนั้นไม่ได้เน้นอัตราเร่งในช่วงความเร็วเกิน 80
กิโลเมตรต่อชั่วโมง หรือถึงจะเน้น
แต่ใช้วิธีคิกดาวน์กดคันเร่งมิดเพื่อลดเกียร์ขณะเปิด OVERDRIVE ก็ยังได้
ถ้าใช้ความเร็วปานกลางขึ้นไป ไต่ไปอยู่เกียร์ 3 แล้ว
หากจะมีการเปลี่ยนไปเข้าเกียร์ 4 (กรณีมี 4 เกียร์)
แล้วมีการเปลี่ยนเกียร์ขึ้นลงบ่อยๆ ก็ไม่เป็นอะไร
เพราะเมื่อไรที่อยู่ในเกียร์สูงสุด ก็จะลดทั้งรอบเครื่องยนต์ ลดการสึกหรอ
และประหยัดน้ำมันขึ้น เมื่อไรที่ต้องการเพิ่มอัตราเร่งก็แค่คิกดาวน์
อย่างรถยนต์ที่ไม่มีปุ่ม OVERDRIVE เข้าอยู่ในเกียร์ D หรือ D4
ก็เท่ากับเป็นการเปิด OVERDRIVE อยู่ตลอดเวลา
ปิด OVERDRIVE ช่วยเบรก
เมื่อขับรถยนต์มาด้วยความเร็วแล้วต้องการเบรก
นอกจากจะกดแป้นเบรกตามปกติแล้ว หลายคนได้ใช้วิธีปิด OVERDRIVE
หรือเลื่อนคันเกียร์ลงมาที่ D3 เพื่อช่วยในการเบรก
หลายคนชอบปฎิบัติเช่นนี้ เพราะต้องการใช้เครื่องยนต์ช่วยในการเบรก (ENGINE
BRAKE) เหมือนการลดเกียร์ต่ำในรถยนต์เกียร์ธรรมดา ซึ่งก็ได้ผลบ้าง
เพราะรถยนต์มีอาการหน่วงความเร็วลงเล็กน้อยเมื่อเกียร์ลดลงต่ำ
ในความเป็นจริงแล้ว เครื่องยนต์สามารถช่วยหน่วงความเร็วในกรณีนี้ได้ก็จริง
แต่ไม่มากเลย
ไม่คุ้มกับการสึกหรอของชุดเกียร์และเครื่องยนต์ที่เพิ่มขึ้นเลย ทดลองได้จาก
ขับรถยนต์ด้วยความเร็วปานกลางบนเส้นทางที่ปลอดภัย แล้วปิด OVERDRIVE
โดยไม่ต้องกดเบรก จะพบว่ารถยนต์ถูกหน่วงก็จริง แต่แค่นิดเดียว
แล้วเริ่มใหม่ กดแป้นเบรกแรงๆ โดยไม่ต้องยุ่งกับเกียร์ดูสิ หัวทิ่มเลย
ควรใช้เบรกตามหน้าที่ ใช้การลดเกียร์ต่ำเมื่อต้องการเร่งความเร็ว หรือลงเขา
BRAKE TO SLOW / GEAR TO GO
บทสรุป
ถ้ายังงง ให้ลืมคำว่า OVERDRIVE ไป
เปลี่ยนเป็นการเปิดใช้หรือไม่ใช้เกียร์ 4 (ในกรณีที่มีทั้งหมด 4 เกียร์)
เมื่อไรที่อยู่ในเกียร์นั้น จะช่วยลดรอบเครื่องยนต์ ให้ความประหยัดน้ำมันฯ
และลดการสึกหรอ แต่อัตราเร่งจะไม่ดีเท่าเกียร์รองลงไป
ปฏิบัติง่ายๆ เปิด OVERDRIVE ไว้ตลอดเวลา
ไม่ว่าจะขับในเมืองหรือต่างจังหวัด หากต้องการอัตราเร่งดีๆ เมื่อไร
ให้กดคันเร่งจมมิดเพื่อคิกดาวน์แล้วแช่ไว้
หรือหากช่วงใดต้องการอัตราเร่งที่ดีในช่วงความเร็วสูงแล้วไม่อยากให้เกียร์
เปลี่ยนไปๆ มาๆ ระหว่าง 3 กับ 4 ก็ให้ปิด OVERDRIVE ขับ
เมื่อพ้นจากสถานะการณ์นั้นแล้ว ให้กลับมาเปิดใช้ตามปกติ
คัดลอกจากบทความเรื่องเกียร์ OVER DRIVE ในเกียร์อัตโนมัติ โดย วรพล สิงห์เขียวพงษ์
วันพฤหัสบดีที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2555
วันจันทร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2555
คาร์โบไฮเดรต Carbohydrate
คาร์โบไฮเดรต Carbohydrate
C H O
คาร์โบไฮเดรตเป็นสารชีวโมเลกุลประกอบด้วยธาตุคาร์บอน ไฮโดรเจน และออกซิเจน มีอัตราส่วนของอะตอมไฮโดรเจนเท่ากับ2:1และมีสูตรโมเลกุลทั่วไปเป็น C
(HO)โดยมีค่าตั้งแต่3ขึ้นไปคาร์โบไฮเดรตที่เรารู้จักกันดีคือ
น้ำตาลชนิดต่างๆ และแป้ง สามารถแบ่งคาร์โบไฮเดรตตามขนาดของโมเลกุลได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ
คือ
มอโนแซ็กคาไรด์
เป็นคาร์โบไฮเดรตที่มีขนาดเล็กที่สุด มีรสหวาน
ละลายน้ำได้มอโนแซ็กคาไรด์โมเลกุลของมอโนแซ็กคาไรด์ ประกอบด้วยอะตอมของธาตุคาร์บอนตั้งแต่ 3-7อะตอมมอโนแซ็กคาไรด์ที่พบมากในธรรมชาติมักเป็นชนิดที่มีอะตอมของธาตุคาร์บอนตั้งแต่5-6อะตอม
เช่น กลูโคส กาแลกโทส
ฟรักโทส
โอลิโกแซ็กคาไรด์
ประกอบด้วยมอโนแซ็กคาไรด์ตั้งแต่2-10โมเลกุลจับกันด้วยพันธะไกลโคซิดิกโอลิโกแซ็กคาไรด์ประกอบด้วยมอโนแซ็กคาไรด์2โมเลกุล
เรียกว่า ไดแซ็กคาไรด์
การรวมกันของมอโนแซ็กคาไรด์ 2 โมเลกุลทำใเกิดไดแซ็กคาไรด์
1 โมเลกุล และน้ำ 1 โมเลกุล
ไดแซ็กคาไรด์ที่สำคัญ ได้แก่ มอลโทส แลกโทส
และซูโครส
ซูโครสเป็นน้ำตาลที่ใช้ประกอบอาหารพบได้ทั่วในผลไม้
และพืชต่างๆ เช่นน้ำตาลที่ได้จากอ้อย มะพร้าวและน้ำตาล โมเลกุลของซูโครสประกอบด้วยกลูโคส
และฟรักโทส
พอลิแซ็กคาไรด์
เป็นคาร์โบไฮเดรตโมเลกุลใหญ่เกิดจาก มอโนแซ็กคาไรด์ตั้งแต่11-1000โมเลกุลต่อกันเป็นสายยาวได้แก่เซลลูโลส ซูโลสเป็นสารอินทรีย์ที่มีมากที่สุดในโลก ทำหน้าที่สร้างลักของผนังเซลล์พืช
เป็นคาร์โบไฮเดรตโมเลกุลใหญ่เกิดจาก มอโนแซ็กคาไรด์ตั้งแต่11-1000โมเลกุลต่อกันเป็นสายยาวได้แก่เซลลูโลส ซูโลสเป็นสารอินทรีย์ที่มีมากที่สุดในโลก ทำหน้าที่สร้างลักของผนังเซลล์พืช
แป้ง(starch) เป็นพอลิแซ็กคาไรด์ที่เก็บสะสมในเซลล์พืช มีโครงสร้าง2ชนิด คือ
อะไมโลส(amylose)และ อะไมโลเพกทิน(amylopectin) ไกลโคเจน(glycogen) เป็นพอลิแซ็กคาไรด์ที่เก็บไว้ในเซลล์สัตว์ ประกอบด้วยกลูโคลที่ต่อกันเป็นสายยาวมีแขนงแตกกิ่งก้านออกเป็นสายสั้นๆ
จำนวนมาก
การเขียนเซต
การเขียนเซต
นอกจากจะเขียนวงกลมหรือวงรีล้อมรอบสมาชิกทั้งหมดของเซตแล้ว
เรายังมีวิธีเขียนเซตได้อีก 2 วิธี ดังนี้
1) วิธีแจกแจงสมาชิก (Tubular
form) มีหลักการเขียน
ดังนี้
- เขียนสมาชิกทั้งหมดในวงเล็บปีกกา
- สมาชิกแต่ละตัวคั่นด้วยเครื่องหมายจุลภาค (,)
- สมาชิกที่ซ้ำกันให้เขียนเพียงตัวเดียว
- ในกรณีที่จำนวนสมาชิกมาก ๆ ให้เขียนสมาชิกอย่างน้อย 3 ตัวแรก แล้วใช้จุด 3 จุด
(Tripple dot) แล้วจึงเขียนสมาชิกตัวสุดท้าย
2) วิธีบอกเงื่อนไขของสมาชิก
(Set builder form) หลักการเขียนมีดังนี้
1. เขียนเซตด้วยวงเล็บปีกกา
2.กำหนดตัวแปรแทนสมาชิกทั้งหมดตามด้วยเครื่องหมาย | (| อ่านว่า "โดยที")่
แล้วตามด้วยเงื่อนไขของตัวแปรนั้น ดังรูปแบบ {x | เงื่อนไขของ x}
เซต
|
แบบแจกแจงสมาชิก
|
แบบบอกเงื่อนไข
|
A
เป็นเซตของจำนวนเต็มบวกที่มีค่าน้อยกว่า
5
|
A = {1, 2, 3, 4}
|
A = {x | x เป็นจำนวนเต็มบวกที่มีค่าน้อยกว่า 5}
|
B
เซตของวันในหนึ่งสัปดาห์
|
B = {วันอาทิตย์, วันจันทร์, วันอังคาร, วันพุธ, วันพฤหัสบดี, วันศุกร์, วันเสาร์}
|
B = {x | x เป็นชื่อวันในหนึ่งสัปดาห์}
|
C
เป็นเซตของตัวอักษรในภาษาอังกฤษ
|
C = {a, b, c, ... ,z}
|
C = {y | y เป็นตัวอักษรในภาษาอังกฤษ}
|
เอกสารประกอบการเรียนรู้
เรื่อง เซต (Set)
คณิตศาสตร์ (สาระพื้นฐาน)
เรื่อง เซต (Set)
คณิตศาสตร์ (สาระพื้นฐาน)
บทนำ
ในการศึกษาวิชาคณิตศาสตร์
จะเริ่มต้นด้วยการเรียนรู้คำใหม่ๆ โดยกำหนดบทนิยามของคำเหล่านั้น โดยบอกความหมายไว้ชัดเจนและรัดกุม
แต่ในคำบางคำก็ไม่จำเป็นต้องให้บทนิยาม เราเรียกคำที่ไม่ต้องนิยามว่า “อนิยาม” นักคณิตศาสตร์ เริ่มเห็นความสำคัญของอนิยามเมื่อประมาณร้อยปีมานี้ ในการให้บทนิยามคำใดก็ตามต้องอาศัยคำพื้นฐานบางคำ
ถ้าให้บทนิยามพื้นฐานเหล่านี้อีก ก็จะมีคำที่ต้องบทนิยามเพิ่มขึ้น ในที่สุดก็จะกลับมาคำเก่า
วนเวียนไปมาเช่นนี้ จึงต้องใช้คำบางคำโดยไม่ต้องบทนิยาม แต่เมื่อกล่าวถึงคำๆ นั้น เราจะทราบความหมายของคำๆ
นั้น เช่น คำว่า จุด , เส้น
, ระนาบ เป็นต้น
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับเซตและสมาชิกของเซต
คำว่า เซต และ สมาชิกของเซต
เป็น อนิยาม เราไม่พูดว่าเซตคืออะไร หรือ ไม่พูดว่า สมาชิกของเซตคืออะไร แต่มีหลักในการพิจารณาว่า
ถ้ากำหนดเซตหนึ่งและสิ่งใดสิ่งหนึ่งมาให้แล้ว เราสามารถบอกได้ว่า สิ่งที่กำหนดให้นั้นเป็นสมาชิกของเซตที่กล่าวถึงหรือไม่
ในวิชาคณิตศาสตร์ เราใช้เซตในความหมายของคำว่ากลุ่มของสิ่งต่างๆ
โดยที่เมื่อกล่าวถึงกลุ่มใดแล้ว สามารถทราบได้แน่ชัดว่า สิ่งของที่อยู่ในกลุ่มนั้นมีอะไรบ้าง
หรือทราบได้ว่า สิ่งใดจะอยู่ในกลุ่ม และสิ่งใดไม่อยู่ในกลุ่มนี้โดยไม่กำกวม
ลองพิจารณากลุ่มที่เราสนใจต่อไปนี้ว่าเกิดเซตหรือไม่
1. วันในหนึ่งสัปดาห์
2. เดือนในหนึ่งปี
3. จังหวัดในประเทศไทยที่ขึ้นต้นด้วยพยัญชนะ “ป”
4. สระภาษาอังกฤษ
5. จำนวนเต็มบวกซึ่งหารด้วย 5 ลงตัว
ที่กล่าวมาเป็นเพียงตัวอย่างส่วนหนึ่งของกลุ่มของสิ่งของที่ถือว่าเป็น
เซต
ลองพิจารณากลุ่มที่เราสนใจต่อไปนี้ว่าเป็นเซตหรือไม่
1. นักเรียนเก่า
2. คนสวยในประเทศไทย 5 คน
3. ผลไม้ที่อร่อยที่สุดในโลก 5 ชนิด
4. คนที่น่ารักที่สุดในประเทศไทย
5. คนที่ร่ำรวยในประเทศไทย
กลุ่มของสิ่งของลักษณะนี้ไม่เกิดเซต
เราไม่ทราบได้แน่ชัดว่ามีสิ่งใดอยู่ในกลุ่มนี้บ้าง เพราะมาตรฐานที่ใช้บอกความอร่อย , ความสวย , ความน่ารัก
, ความเก่ง ฯลฯ ของแต่ละคนไม่เหมือนกันซึ่งกำกวม
ตามที่กล่าวมาแล้ว ถ้ากล่าวถึงเซต
เราจะทราบได้แน่ขัดว่ามีสิ่งใดบ้างอยู่ในเซตนี้ เราเรียกสิ่งที่อยู่ในเซตว่า “สมาชิกของเซต”
ข้อตกลงเกี่ยวกับสัญลักษณ์ของเซต
1. ใช้อักษรภาษาอังกฤษตัวพิมพ์ใหญ่ เป็นชื่อย่อของเซต
เช่น A
, B , C , D , … , Z
2. ใช้อักษรภาษาอังกฤษตัวพิมพ์เล็กแทนสมาชิกของเซต เช่น
a ,
b , c , d , … , z
3. ใช้วงเล็บปีกกาแทน เซต เช่น A = { b , o , y
} B = { x/x2
= 16 }
4. ใช้สัญลักษณ์ “∈ ” แทนคำว่า “เป็นสมาชิกของ”
และ “ ∉
” แทนคำว่า “ไม่ เป็นสมาชิกของ”
เช่น A
= { 2 , 3 , 5 }
จะเห็นว่า 2 เป็นสมาชิกของเซต
A
เราเขียนแทนด้วย 2∈A
7 ไม่เป็นสมาชิกของเซต A เราเขียนแทนด้วย 7∉A
5. ใช้สัญลักษณ์ n (A) แทนจำนวนสมาชิกของเซต A
เช่น A
= { a , e , i , o , u } n(A) = 5
6. ถ้าสมาชิกในเซตเดียวกันซ้ำกัน ให้ถือว่า เซตนั้นมีสมาชิกดังกล่าวเพียงตัวเดียว
เช่น {
1 , 2 , 2 , 3 , 3 } จะเท่ากับ { 1 , 2 , 3 }
การเขียนเซต
การกล่าวถึงเซตใดเซตหนึ่ง นอกเหนือจากบรรยายลักษณะของสมาชิกในเซตนั้นแล้ว เรามีวิธีการเขียนเซต
ในรูปแบบสัญลักษณ์ ซึ่งมีวิธีเขียนได้ 2 แบบ คือ
1. แบบแจกแจงสมาชิก
วิธีนี้เขียนสมาชิกทุกตัวในวงเล็บปีกกา และใช้เครื่องหมายจุลภาค “ , ” คั่นระหว่างสมาชิกแต่ละตัว
1.1 ถ้าสมาชิกของเซตมีน้อย ให้เขียนให้ครบ
เช่น เซตของจำนวนนับที่น้อยกว่า 10
A = { 1 , 2 , 3 , 4 , 5 , 6 , 7 , 8 , 9
, 10 }
1.2 ถ้าสมาชิกของเซตนั้นมีมากและเป็นระเบียบ สามารถทราบสมาชิดตัวต่อๆ ไปได้เรารู้สมาชิกตัวแรกและตัวสุดท้าย
เราสามารถละ สมาชิกช่วงกลางๆ ได้โดยใช้จุด 3 จุด “ … ” แทน
เช่น เซตของจำนวนเต็มบวกที่มีค่าไม่เกิน 100 A
= { 1 , 2 , 3 , … , 100 }
เซตของพยัญชนะภาษาไทย B = { ก , ข , ฃ ,
... , ฮ }
1.3 ถ้าสมาชิกของเซตมีมากจนไม่สิ้นสุด และเป็นระเบียบสามารถทราบสมาชิกตัวต่อๆ ไปได้
เราก็เขียนเฉพาะตัวแรกๆ สามารถละสมาชิกช่วงหลังๆ ได้โดยใช้จุด 3 จุด “
… ”
เช่น - เซตของจำนวนเต็มลบที่
10 หารลงตัว A = { -10 , -20 , -30 , … }
- เซตของจำนวนนับ B
= { 1 , 2 , 3 , … }
เอกภพสัมพัทธ์ ( Universal Set )
บทนิยาม
เอกภพสัมพัทธ์ ( Universal Set )
คือเซตที่กำหนดขึ้นโดยมีข้อตกลงว่า จะไม่กล่าวถึงสิ่งใดนอกเหนือไปจากสมาชิกของเซตที่กำหนดขึ้นนี้
ข้อตกลง นิยมใช้ U แทนเอกภพสัมพัทธ์
2. แบบบอกเงื่อนไข
การเขียนแบบบอกเงื่อนไขของสมาชิกของเซต
เริ่มต้นด้วยการกำหนดเอกภพสัมพัทธ์ ( Universal ) วิธีนี้จะใช้ตัวแปรแทนสมาชิกของเซต พร้อมทั้งอธิบายคุณสมบัติของสมาชิกที่อยู่ในเซตนั้น
ระหว่างตัวแปรกับคำอธิบายคั่นด้วยเครื่องหมาย “ / ” ( อ่านว่า โดยที่ ) แล้วเขียนวงเล็บปีกกาคร่อม
เช่น U = { 0 , 1 , 2
, 3 , 4 , 5 , 6 }
A
= { x∈U / x เป็นจำนวนคี่ }
อ่านว่า A เป็นเซตที่ประกอบด้วย x ซึ่งเป็นสมาชิกของ U โดยที่ x เป็นจำนวนคี่ หรือ อาจเขียน
A
= { x / x∈U และ x
เป็นจำนวนคี่ } ถ้าจะเขียน A แบบแจกแจงสมาชิกจะได้ A = { 1 , 3 , 5 }
ในการสร้างเซตแบบบอกเงื่อนไขแต่ละครั้ง
ถ้าเรากำหนดเอกภพสัมพัทธ์ไว้ก่อนแล้วการเขียนเซตไม่จำเป็นต้องเขียนเอกภพสัมพัทธ์กำกับไว้ภายในเซตนั้นก็ได้
แต่จะต้องพึงระวัง ระลึกไว้เสมอว่า สมาชิกของทุกเซตที่จะกล่าวต่อไป จะต้องเป็นสมาชิกของเอกภพสัมพัทธ์ที่กำหนดให้
ดังเช่น กำหนดเอกภพสัมพัทธ์
U
= { 1 , 2 , 3 , … , 25 }
A
= { x / x มี 5 เป็นตัวประกอบ }
จะได้ A = { 5 , 10 ,
15 , 20 , 25 }
B
= { x /x เป็นจำนวนเฉพาะ }
จะได้ B = { 2 , 3 , 5
, 7 , 11 , 13 , 17 , 19 , 23 }
- หมายเหตุ ในการกล่าวถึงเซตซึ่งมีสมาชิกเป็นจำนวน มีข้อตกลงว่า ถ้ามิได้กำหนดเอกภพสัมพัทธ์มาให้ ให้ถือว่าเอกภพสัมพัทธ์ คือ เซตของจำนวนจริง
- สัญลักษณ์แทนเซตของจำนวนต่างๆ
จำนวนนับ แทนด้วย N โดยที่ N = { 1 , 2 , 3 , … }
จำนวนเต็ม แทนด้วย I โดยที่ I = { … , -3 , -2 , -1 , 0 , 1 , 2 , 3 ,
…}
จำนวนเต็มลบ แทนด้วย I - โดยที่ I - = { -1 , -2 , -3 , … }
จำนวนเต็มศูนย์ แทนด้วย I 0 โดยที่ I 0 = { 0 }
จำนวนเต็มบวก แทนด้วย I + โดยที่ I + = { 1 , 2 , 3 , … }
จำนวนตรรกยะ แทนด้วย โดยที่
Q
เป็นจำนวนที่เขียนแทนด้วยเศษส่วนได้
Q
จำนวนอตรรกยะ แทนด้วย Q โดยที่ Q′′ เป็นจำนวนที่ไม่ใช่จำนวนตรรกยะ
จำนวนจริง แทนด้วย R ประกอบไปด้วยจำนวนตรรกยะและอตรรกยะ
ชนิดของเซต
เซตว่าง [ Empty set or
Null set ]
หมายถึงเซตที่ไม่มีสมาชิกอยู่เลย
หรือเซตที่มีจำนวนสมาชิกเท่ากับศูนย์
ข้อตกลง เราใช้สัญลักษณ์
φ หรือ { } แทนเซตว่าง
ตัวอย่างเซตที่เป็นเซตว่างคือ 1. เซตของนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยที่เป็นผู้หญิง
2. { x / x2 = -4}
3. { x / x เป็นสระในคำว่า “มรกต” }
เซตจำกัด [ Finite set ]
หมายถึงเซตที่มีจำนวนสมาชิกเป็นจำนวนเต็มบวกหรือศูนย์
จำนวนสมาชิกของเซตจำกัด A เขียนด้วย n(A) ดังนั้น n(A) จะหาค่าได้ และเป็นจำนวนเต็มบวกหรือศูนย์ ก็ต่อเมื่อ Aเป็นเซตจำกัด
เซตอนันต์ [ Infinite set ]
หมายถึงเซตที่ไม่ใช่เซตจำกัด
มีสมาชิกมากมายนับไม่ถ้วน
ตัวอย่างเซตที่เป็นเซตอนันต์
1. A = { 1 , 2 , 3 , … }
2. B = { x / x เป็นจำนวนคี่ }
3. C = { x / x เป็นจำนวนเฉพาะ }
เซตที่เท่ากัน
เซต A เท่ากับ เซต B ก็ต่อเมื่อ เซตทั้งสองมีสมาชิกเหมือนกัน
สัญลักษณ์ ถ้า A และ B เป็นเซตที่เท่ากัน เราจะเขียนแทนด้วย A=B
ถ้า A และ B เป็นเซตที่ไม่เท่ากัน เราจะเขียนแทนด้วย A≠B
ตัวอย่างการเท่ากันของเซต
1. กำหนดให้ A = { x / x เป็นพยัญชนะในคำว่า set }
A
= { s , e , t }
B
= { x / x เป็นพยัญชนะในคำว่า test }
B
= { t , e , s }
A=B
2.
กำหนดให้ A = { x / x∈N
และ x < 6 }
A
= { 1 , 2 , 3 , 4 , 5 , 6 } B = { 0 , 1 , 2 , 3 , 4 , 5 }
AB
≠
3. กำหนดให้ U = เซตของพยัญชนะภาษาไทย
A
= เซตของพยัญชนะในคำว่า “สามัคคี”
B
= เซตของพยัญชนะในคำว่า “สมาคม”
C
= เซตของพยัญชนะในคำว่า “คำสมาส”
D
= เซตของพยัญชนะในคำว่า “ดอกไม้”
E
= เซตของพยัญชนะในคำว่า “มอดกัดไม้”
จะได้ A=B=C และ D=E
สับเซต [ Subset ]
บทนิยาม เซต A เป็นสับเซตของเซต B ก็ต่อเมื่อ สมาชิกทุกตัวของเซต A เป็นสมาชิกของเซต B
ข้อตกลง A เป็นสับเซตของ B เขียนแทนด้วยสัญลักษณ์ AB ⊂
สิ่งที่ควรทราบ เซต A ไม่เป็นสับเซตของเซต B ก็ต่อเมื่อ ถ้ามีสมาชิกอย่างน้อยหนึ่งตัวของ A ไม่เป็นสมาชิกของเซต B
ข้อตกลง A ไม่เป็นสับเซตของ B เขียนแทนด้วยสัญลักษณ์ A⊄B
ตัวอย่าง 1. กำหนดให้ A = { 1 ,2 ,3 ,4
}
B
= {x∈N / 2x < 9 } B = { 1 ,2 ,3 ,4 }
A⊂B
2. กำหนดให้ A = {x / x + x =
12 } A = { 6 }
B
= {x / x2 =
36 } B = { -6,6 }
A⊂B
3. กำหนดให้ A = {x∈I
/ 2 ≤ x < 7 } A = { 2 ,3 ,4 ,5 ,6 }
B
= { x∈N / x≤ 5 } B = { 1 ,2 ,3 ,4 ,5 }
A⊄B
เพราะ 6∈A
แต่ 6∉B
คุณสมบัติของสับเซตบางประการที่น่าสนใจ
1. เซตทุกเซตเป็นสับเซตของตัวมันเอง
กล่าวคือ ถ้า A เป็นเซตใดๆ แล้ว A⊂A
2. เซตว่างเป็นสับเซตของเซตทุกเซต
กล่าวคือ ถ้า A เป็นเซตใดๆ แล้ว ⊂φA
3. สับเซตมีคุณสมบัติการถ่ายทอด
กล่าวคือ ถ้า AB และ B⊂C แล้ว AC ⊂⊂
ตัวอย่าง 1. กำหนดให้ A = { 3 } จงเขียนสับเซตทั้งหมดของ A
สับเซตทั้งหมดของ A มี 2 เซตคือ
1. φ
2. { 3 }
2. กำหนดให้ A = { 1,2 } จงเขียนสับเซตทั้งหมดของ A
สับเซตทั้งหมดของ A มี 4 เซตคือ
1. φ
2. { 1 }
3. { 2 }
4. { 1 ,2 }
3. กำหนดให้ A = { a ,b ,c } จงเขียนสับเซตทั้งหมดของ A
สับเซตทั้งหมดของ A มี 8 เซตคือ
1. φ
2. { a }
3. { b }
4. { c }
5. { a ,b }
6. { a ,c }
7. { b ,c }
8. { a ,b ,c }
สับเซตแท้ [ Proper Subset
]
A เป็นสับเซตแท้ของ B ก็ต่อเมื่อ A⊂B และ A≠B
A เป็นสับเซตแท้ของ B ก็ต่อเมื่อ A⊂B และ A≠B
กำหนดให้ A = { -1 ,3 } จงหาสับเซตแท้ทั้งหมดของ A
สับเซตแท้ทั้งหมดของ A มี 3 เซตคือ
1. φ
2. { -1 }
3. { 3 }
กำหนดให้ A = { a ,b ,c } จงหาสับเซตแท้ทั้งหมดของ A
สับเซตแท้ทั้งหมดของ A มี 7 เซตคือ
1. φ
2.
{ a
}
3. { b }
4. { c }
5. { a ,b }
6. { a ,c }
7. { b ,c }
จำง่ายๆ ก็คือ สับเซตแท้ของ A คือ สับเซตของ A ทุกตัวยกเว้นเซต A เอง
ข้อสังเกต 1. ในกรณีที่ A เป็นเซตจำกัด จำนวนสับเซตทั้งหมดของ A และจำนวนสมาชิกของ A
มีความสัมพันธ์กันดังนี้
ถ้า n(A) = k แล้ว จำนวนสับเซตทั้งหมดของ A = 2k เซต
ดังนั้น จำนวนสับเซตแท้ทั้งหมดของ
A =
2k -
1 เซต
2. ถ้า A =φ แล้ว จะไม่มีสับเซตแท้ของ A ทั้งนี้เพราะสับเซตของ A มีเพียงเซตเดียวคือ φ
เท่ากับ A ดังนั้น เซตว่างไม่มีสับเซตแท้
แผนภาพของเวนน์ – ออยเลอร์ [ Venn – Euler Diagram ]
การศึกษาเกี่ยวกับเรื่องเซต
ในบางครั้งการเขียนแผนภาพจะช่วยให้เราสามารถเข้าใจและทำให้คิดโจทย์ได้เร็วและชัดเจนมากขึ้น
เรียกการเขียนแผนภาพแทนเซตนี้ว่า “แผนภาพของเวนน์ –
ออยเลอร์”
ในการเขียนแผนภาพของเวนน์
– ออยเลอร์ เริ่มด้วยการใช้รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า หรือรูปปิดใดๆ
แทนเอกภพสัมพัทธ์ ( U ) และใช้รูปวงกลมหรือวงรี หรือรูปปิดใดๆ แทนเซตต่างๆ
ที่เป็นสับเซตของเอกภพสัมพัทธ์
U
แผนภาพแสดงเอกภพสัมพัทธ์
U
U
แผนภาพแสดงเซต A ซึ่งเป็นสับเซตของ U
A
A
U
แผนภาพแสดงเซต A และ B ซึ่งเป็นสับเซตของ
B
และเซต A กับเซต B ไม่มีสมาชิกร่วมกัน [ disjoint set ]
U
แผนภาพแสดงเซต A และ B ซึ่งเป็นสับเซตของ U
A
B และเซต A กับเซต B มีสมาชิกบางตัวร่วมกัน ซ้ำกัน [ joint set ]
A,B U แผนภาพแสดงเซต A และ B
ซึ่งเป็นสับเซตของ U
และ A = B [ AB และ BA ] ⊂⊂
B
U แผนภาพแสดงเซต A และ B ซึ่งเป็นสับเซตของ U
A
และ A เป็นสับเซตแท้ของ B [ AB ] ⊂
A
U แผนภาพแสดงเซต A และ B ซึ่งเป็นสับเซตของ U
B
และ B เป็นสับเซตแท้ของ A [ B⊂A
]
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)